ย้อนรอย 14 ปี เหตุการณ์การสังหารหมู่ที่อากิฮาบาระ

โดยทั่วไปแล้ว ประเทศญี่ปุ่นเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยสำหรับการอยู่อาศัย อาวุธปืนหาได้ยากและอาชญากรรมก็มีน้อยมาก แต่เมื่อมีคนก่ออาชญากรรมและทำสิ่งผิดกฎหมายมักจะรุนแรงขั้นสุดยอด และเหตุการณ์นี้ก็เป็นหนึ่งในอาชญากรรมร้ายแรงเที่เกิดขึ้นในญี่ปุ่น

การสังหารหมู่ที่อากิฮาบาระ

เมื่อ 14 ปีที่แล้ว เหตุฆาตกรรมหมู่เกิดขึ้นเมื่อวันอาทิตย์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2551 เมื่อเวลา 12:33 น. ในย่านอากิฮาบาระ นายโทโมฮิโระ คาโต ผู้ต้องสงสัยวัย 25 ปี ได้ไปก่อเหตุสะเทือนขวัญในย่านที่คนพลุกพล่านที่สุดแห่งหนึ่งในโตเกียว นั่นก็คือ “อากิฮาบาระ” เขาได้ขับรถบรรทุกพุ่งเข้าสู่ฝูงชนจนส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตทันที 3 ราย บาดเจ็บ 2 ราย จากนั้นลงจากรถแล้วไล่แทงคนอย่างน้อยอีก 12 คน โดยใช้ดาบสั้น ทำผลให้มีผู้เสียชีวิตทันที 4 ราย และบาดเจ็บอีก 8 ราย รวมผู้เสียชีวิต 7 ราย เป็นชาย 6 คน และหญิง 1 คน

แล้วเหตุผลของเขาในการฆ่าคนอย่าบ้าคลั่งคืออะไร เราจะพูดถึง นายโทโมฮิโระ คาโต ว่าเขาเป็นใคร เขาทำอะไร และอะไรนำไปสู่การสังหารหมู่ที่ไร้สติครั้งนี้

นายโทโมฮิโระ ชายผู้ลงมือก่อเหตุ เกิดเมื่อวันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2525 เติบโตในเมืองอาโอโมริ ซึ่งอยู่ที่ปลายสุดของเกาะหลักของญี่ปุ่นที่เรียกว่า ฮอนชู ครอบครัวของเขาถือว่าไม่ลำบากอะไร โดยที่พ่อของเขาทำงานเป็นผู้จัดการในสถาบันการเงินแห่งหนึ่ง และแม่ของเขาเป็นแม่บ้าน

แม้ว่าครอบครัวจะมีฐานะทางการเงินที่ดี แต่ชีวิตในบ้านก็ค่อนข้างลำบากสำหรับโทโมฮิโระ สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นจากวัฒนธรรมการทำงานและการใช้ชีวิตในญี่ปุ่น ที่มีความกดดันว่าจะต้องประสบความสำเร็จในชีวิต จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ญี่ปุ่นมีอัตราการฆ่าตัวตายสูงที่สุดในโลก

ในช่วงชีวิตวัยเด็กประถม นายโทโมฮิโระ พยายามทำตามความคาดหวังของพ่อแม่เป็นอย่างมาก เขาทำได้ดีทั้งด้านวิชาการและด้านกีฬา ซึ่งที่จริงเขาก็เป็นนักกีฬาระดับแนวหน้าของโรงเรียนและเป็นนักเรียน ระดับ A+ เขาค่อนข้างโด่งดังและมีเพื่อนมากมายในวัยเด็ก เขายังได้เป็นประธานชมรมเทนนิสในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นด้วย ดังนั้นพ่อแม่ของเขาคงจะภูมิใจในตัวเขามากเลยทีเดียว

แต่สิ่งต่าง ๆ เริ่มเปลี่ยนแปลงไปเมื่อเขาเริ่มเรียนระดับมัธยมปลาย นี่คือช่วงเวลาที่ความกดดันเริ่มก่อตัวอย่างชัดเจน พ่อแม่ของเขาเข้มงวดกับเขามากขึ้น

แรงกดดันที่มีต่อโทโมฮิโระนั้นเกิดจากในครอบครัว โดยเฉพาะจากแม่ของเขา ตัวอย่างเช่น ในการเขียนของเขาถ้าเขาสะกดคำผิดโดยใช้อักขระที่ไม่ถูกต้อง แม่ของเขาก็จะฉีกทิ้งและทำให้เขาเริ่มต้นเขียนใหม่ เมื่อถูกขอให้อ่านสมการคณิตศาสตร์ ถ้าเขาตอบผิด แม่ของเขาจะจับหัวของเขาแช่ลงในน้ำเย็น เพื่อนบ้านจะได้เห็นเขายืนอยู่นอกบ้านของครอบครัวในฤดูหนาวที่หนาวเหน็บเป็นเวลาหลายชั่วโมงซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการลงโทษที่ไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานของพ่อแม่

และแล้วโทโมฮิโระก็ล้มเหลวกับเรื่องการเรียน เขาสอบได้อันดับที่ 300 จากนักเรียน 360 คน ดังนั้นเขาใช้เวลานอกบ้านให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะความโกรธของแม่

นอกเหนือจากการเรียนแล้ว ในโรงเรียนมัธยมปลายชีวิตทางสังคมของเขาแตกต่างไปจากเดิมมาก จากที่เขาเคยเข้าสังคมและเป็นที่นิยมมาโดยตลอดเมื่อตอนที่เขายังเป็นเด็ก ตอนนี้เขามักถูกรังแกและโดดเดี่ยวจากคนรอบข้าง คนที่เคยเรียนมัธยมปลายกับเขาเล่าว่า เขาเหงาและบอกว่าบางครั้งเขาจะพกมีดไปที่โรงเรียน

และก็มามาถึงจุดแตกหัก เมื่อเขาเริ่มสมัครเข้ามหาวิทยาลัยในฝันของเขา แม่ของเขาอยากให้เขาเป็นวิศวกรมาโดยตลอด ซึ่งเป็นแผนที่วางไว้ตั้งแต่เขายังเป็นเด็ก แต่เขาสอบไม่ผ่านและถูกปฏิเสธ เขาพยายามเรียนให้หนักขึ้นและพยายามสอบอีกครั้ง แต่เขาก็ยังสอบไม่ผ่านเป็นครั้งที่สองเช่นกัน

นี่คือช่วงเวลาที่โทโมฮิโระรู้สึกหดหู่และโกรธเคืองมาก และเขารู้สึกโดดเดี่ยวมากขึ้นกว่าเดิม เพราะพ่อแม่ของเขาได้ทุ่มเทเวลาและพลังงานทั้งหมดให้กับน้องชายของเขา และทำเหมือนกับเขาไม่มีตัวตน

โทโมฮิโระตัดสินใจเปลี่ยนมาเข้าเรียนที่ Nakanihon Automotive College ซึ่งเขาได้รับการฝึกฝนให้เป็นช่างยนต์ และในปี 2548 เขาได้รับการจ้างงานจากบริษัทรถบรรทุกในไซตามะ ซึ่งเป็นย่านในโตเกียว เขารู้สึกดีที่มีการงานที่มั่นคง แต่เขาก็ประสบปัญหาด้านการเงินเนื่องจากโตเกียวเป็นเมืองที่มีค่าครองชีพสูงมาก และเงินเดือนของเขาก็ไม่พอต่อค่าใช้จ่าย เขาเริ่มก่อหนี้ส่วนตัวจำนวนมากและแทบจะไม่มีเงินใช้จ่าย เขากลายเป็นโรคซึมเศร้า ไม่มีเพื่อนคุย และเขาใช้เวลาส่วนใหญ่ในการดูอนิเมะและสนทนาบนเว็บบอร์ด

มีคำที่ใช้เรียกอาการของเขาว่าเป็น “ฮิคิโคโมริ (hikikomori)” ซึ่งเป็นคำศัพท์ที่อธิบายถึงคนหนุ่มสาวที่ขังตัวเองให้ห่างจากโลก ห่างไกลจากครอบครัว เพื่อนฝูง เพื่อนร่วมงาน และใช้เวลาทั้งหมดของพวกเขาทางออนไลน์ ดูทีวี หรือเล่นวิดีโอเกม

ในปี พ.ศ. 2549 โทโมฮิโระ พยายามฆ่าตัวตายด้วยการขับรถบรรทุกของเขาชนกำแพงของอาคาร แต่ไม่ประสบความสำเร็จในการฆ่าตัวตาย

และเหมือนโชคชะตาของเขาจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น เมื่อเขาได้รับการว่าจ้างให้เป็นพนักงานชั่วคราวที่โรงงานชิ้นส่วนรถยนต์ในจังหวัดชิซูโอกะ โดยมีเงินเดือนที่สูงกว่าเดิมและยังมีที่พักให้ด้วย มันก็เพียงพอแล้วสำหรับเขาที่จะใช้ชีวิตดำเนินต่อไป แต่ไม่นานเขาได้ยินว่าบริษัทจะมีการเลิกจ้างงานจำนวนมาก สิ่งนี้ทำให้เขากลับมารู้สึกเครียดอีกครั้ง

นอกจากนี้เขายังประสบปัญหากับการกลั่นแกล้งทางออนไลน์ โดยคนเพียงคนเดียวที่เขาเคยสื่อสารด้วยทางเว็บบอร์ด นี่เป็นปฏิสัมพันธ์ทางสังคมรูปแบบเดียวของเขาในขณะนั้น เนื่องจากเขาไม่มีเพื่อนหรือแฟนสาว และตอนนี้เขารู้สึกว่าเขาไม่สามารถหาสิ่งปลอบใจใดๆ ได้อีก แม้แต่ในในสังคมออนไลน์เช่นกัน

สามวันก่อนการสังหารหมู่ที่อากิฮาบาระจะเกิดขึ้น โทโมฮิโระเริ่มทำงานและสังเกตว่าเครื่องแบบของเขาหายไปจากตู้เก็บของ เขาไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหนหรือทำไมมันถึงหายไป แต่เขาคิดว่ามันเกี่ยวข้องกับการเลิกจ้างที่โรงงานชิ้นส่วนยานยนต์ที่กำลังมาถึงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และเขากำลังจะตกงาน

คนงานคนอื่นๆ ที่อยู่ในโรงงานวันนั้นบอกว่า มีคนเห็นเขาร้องโวยวายเกี่ยวกับชุดเครื่องแบบที่หายไป ซึ่งถือว่าผิดปกติมากสำหรับคนเงียบๆ แบบนี้ เพื่อนร่วมงานไปหาชุดใหม่ให้เขาใส่ แต่โทโมฮิโระออกไปแล้ว และวันรุ่งขึ้นเขาก็ไม่ได้กลับเข้าไปทำงาน

เขาได้ซื้อมีด และเริ่มโพสต์ข้อความเตือนจำนวนมากทางออนไลน์เกี่ยวกับสิ่งที่เขาคิดและสิ่งที่เขากำลังวางแผนจะลงมือทำ

เขาโพสต์ข้อความว่า เขาน่าเกลียดและไม่มีแฟน “นั่นคือที่มาของปัญหาผม ผมอยู่ในอารมณ์ที่จะฆ่าผู้คนโดยไม่คำนึงว่าพวกเขาเป็นใคร”

เขายังเขียนอีกว่า

“โอ้… ผมหมดหวังแล้ว สิ่งที่ผมต้องการจะทำ: ก่ออาชญากรรม ความฝันของผมได้ออกรายการทีวี ผมเห็นคู่รักที่ริมฝั่งแม่น้ำ ผมหวังว่าพวกเขาจะถูกฆ่าแล้วลอยไปตามแม่น้ำ”

“ตั้งแต่ฉันยังเด็ก ฉันถูกบังคับให้เล่นเป็น ‘เด็กดี’ ฉันเคยชินกับการหลอกลวงผู้คน”

“ฉันต่ำต้อยกว่าถังขยะ เพราะอย่างน้อยถังขยะก็ยังถูกนำกลับมาใช้ใหม่”

ในวันอาทิตย์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2551 เขาจะทำตามแผนโดยโพสต์ข้อมูลอัปเดตเว็บบอร์ดตั้งแต่ตี 5 ของเช้าวันนั้น

แม้จะมีโพสต์ข้อความของเขา แต่ข้อมูลนี้ไม่ได้ส่งไปถึงตำรวจ ดังนั้นจึงไม่มีอะไรหยุดเขาได้

วันนั้นเป็นวันอาทิตย์ ดังนั้น Chuō-dōri จึงปิดการจราจรทางรถยนต์เพื่อให้คนเดินถนนสามารถซื้อของบนถนนด้วยการเดินเท้า เมื่อโทโมฮิโระมาถึง ท้องถนนก็เต็มไปด้วยผู้คนที่ซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าและหนังสือการ์ตูน โทโมฮิโระได้เช่ารถบรรทุกสำหรับภารกิจของเขาโดยเฉพาะ

เมื่อเวลาประมาณ 12.30 น. เขาฝ่าไฟแดงขับรถไปตามถนนไถลเข้าไปในฝูงชน จากนั้นโทโมฮิโระจอดรถบรรทุก และวิ่งเข้าไปในฝูงชนด้วยมีด 2 เล่ม เขาเริ่มกรีดร้องและไล่แทงผู้คนตามอำเภอใจ โดยไม่สนใจว่าจะเป็นชายหรือหญิง เด็กหรือคนแก่ เขาแค่ต้องการใช้ความรุนแรงกับผู้คนให้มากที่สุด

ตำรวจวิ่งไล่ตามเขา และมีคนใช้กระบองตีโทโมฮิโระที่ศีรษะจนแตก แต่ดูเหมือนจะไม่ทำให้เขาตกใจเลยขณะที่เขาวิ่งไปรอบๆ และกรีดร้อง จากนั้นตำรวจก็เข้าจับเขาด้วยการใช้อาวุธปืนบังคับ ทำให้โทโมฮิโระตัดสินใจทิ้งมีดและยอมมอบตัว

ที่สถานีตำรวจ เขาให้ความร่วมมือในการให้ปากคำ แต่ไม่ขอโทษในสิ่งที่เขาทำลงไป โดยแรงจูงใจของเขาคือ เขาคิดว่าเขาตกงาน (แม้ว่าภายหลังจะได้รับการยืนยันว่าเขาไม่ใช่พนักงานที่กำลังจะถูกเลิกจ้าง) เขายังโทษความเหงาและบอกว่าถ้าเขามีแฟนเรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น

และท้ายที่สุด เขาตำหนิการกลั่นแกล้งทางออนไลน์บนเว็บบอร์ดที่เขาใช้สำหรับการปฏิสัมพันธ์กับสังคม แต่ก็น่าแปลกที่เขากล่าวว่าเขาไม่ได้โทษแม่หรือการเลี้ยงดูของเขาแต่อย่างใด แม้ว่าทั้งพ่อและแม่ของเขาจะขอโทษต่อสาธารณชนสำหรับการกระทำของลูกชายของพวกเขา

เมื่อวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2554 โทโมฮิโระถูกตัดสินประหารชีวิต ซึ่งศาลสูงโตเกียวได้ยืนยันคำตัดสิน ในปีต่อมาเขาพยายามอุทธรณ์ โดยจะแสดงความสำนึกผิดต่อการกระทำของเขา โดยกล่าวว่าเขา “อยากจะขอโทษต่อผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ผู้บาดเจ็บ และครอบครัวของพวกเขา” และเขายังอ้างว่าเขาจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นไม่ได้

ปัจจุบันโทโมฮิโระยังคงรอโทษการประหารชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้

เรียบเรียงข้อมูลจาก
– https://medium.com/serial-napper/the-akihabara-massacre-50eebb3460ac
– https://www.calendarz.com/on-this-day/june/8/akihabara-massacre